วันพุธที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2551

ความแตกต่างระหว่างภาษาพูดและภาษาเขียน

ความแตกต่างระหว่างภาษาพูดและภาษาเขียน
เป็นการยากที่จะตัดสินว่า คำใดเป็นภาษาพูด คำใดเป็นภาษาเขียน ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับกาลเทศะในการใช้คำนั้นๆ บางคำก็ใช้เป็นภาษาเขียนอย่างเดียว บางคำก็ใช้พูดอย่างเดียว และบางคำอยู่ตรงกลางคืออาจเป็นทั้งภาษาพูดและภาษาเขียนก็ได้ ความแตกต่างระหว่างภาษาพูดกับภาษาเขียนพออธิบายได้ดังนี้
๑. ภาษาเขียนไม่ใช้ถ้อยคำหลายคำที่เราใช้ในภาษาพูดเท่านั้น เช่น เยอะแยะ โอ้โฮ จมไปเลยแย่ ฯลฯ
๒. ภาษาเขียนไม่มีสำนวนเปรียบเทียบหรือคำสแลงที่ยังไม่เป็นที่ยอมรับในภาษาเช่น ชักดาบ พลิกล็อค โดดร่ม
๓. ภาษาเขียนมีการเรียบเรียงถ้อยคำที่สละสลวยชัดเจน ไม่ซ้ำคำหรือซ้ำความโดยไม่จำเป็น ในภาษาพูดอาจจะใช้ซ้ำคำหรือซ้ำความได้ เช่น การพูดกลับไปกลับมา เป็นการย้ำคำหรือเน้นข้อความนั้นๆ
๔. ภาษาเขียน เมื่อเขียนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ผู้เขียนไม่มีโอกาสแก้ไขเปลี่ยนแปลงได้ แต่ถ้าเป็นภาษาพูด ผู้พูดมีโอกาสชี้แจงแก้ไขในตอนท้ายได้ นอกจากนี้ยังมีข้อแตกต่างระหว่างภาษาพูดและภาษาเขียนอีกหลายประการ คือ
๑) ภาษาเขียนใช้คำภาษามาตรฐาน หรือภาษาแบบแผน ซึ่งนิยมใช้เฉพาะในวงราชการหรือในข้อเขียนที่เป็นวิชาการทั้งหลายมากกว่าภาษาพูด เช่น
ภาษาเขียน – ภาษาพูด ภาษาเขียน – ภาษาพูด
สุนัข หมา สุกร หมู กระบือ ควาย
แพทย์ หมอ เครื่องบิน เรือบิน เพลิงไหม้ ไฟไหม้
ภาพยนตร์ หนัง รับประทาน ทาน,กิน ถึงแก่กรรม ตาย,เสีย
ปวดศีรษะ ปวดหัว เงิน ตัง(สตางค์) อย่างไร ยังไง
ขอบ้าง ขอมั่ง กิโลกรัม,เมตร โล,กิโล ฯลฯ
๒) ภาษาพูดมักจะออกเสียงไม่ตรงกับภาษาเขียน คือ เขียนอย่างหนึ่งเวลาออกเสียงจะเพี้ยนเสียงไปเล็กน้อย ส่วนมากจะเป็นเสียงสระ เช่น
ภาษาเขียน – ภาษาพูด ภาษาเขียน – ภาษาพูด

พูด
ฉัน ชั้น เขา เค้า ไหม ไม้(มั้ย)
เท่าไร เท่าไหร่ หรือ หรอ,เร้อะ แมลงวัน แมงวัน
สะอาด ซาอาด มะละกอ มาลากอ นี่ เนี่ยะ
๓) ภาษาพูดสามารถแสดงอารมณ์ของผู้พูดได้ดีกว่าภาษาเขียน คือ มีการเน้นระดับเสียงของคำให้สูง-ต่ำ-สั้น-ยาว ได้ตามต้องการ เช่น


ภาษาเขียน – ภาษาพูด ภาษาเขียน – ภาษาพูด
ตาย ต๊าย บ้า บ๊า ใช่ ช่าย
เปล่า ปล่าว ไป ไป๊ หรือ รึ(เร้อะ)
ลุง ลุ้ง หรอก หร้อก มา ม่ะ
๔) ภาษาพูดนิยมใช้คำช่วยพูดหรือคำลงท้าย เพื่อช่วยให้การพูดนั้นฟังสุภาพและไพเราะยิ่งขึ้น เช่น ไปไหนคะ ไปตลาดค่ะ รีบไปเลอะ ไม่เป็นไรหรอก นั่งนิ่งๆ ซิจ๊ะ
๕) ภาษาพูดนิยมใช้คำซ้ำ และคำซ้อนบางชนิด เพื่อเน้นความหมายของคำให้ชัดเจนยิ่งขึ้น เช่น
คำซ้ำ ดี๊ดี เก๊าเก่า ไปเปย อ่านเอิ่น ผ้าห่มผ้าเหิ่ม กระจกกระเจิก อาหงอาหาร
คำซ้อน มือไม้ ขาวจั้ะ ดำมิดหมี แข็งเป็ก เดินเหิน ทองหยอง




ภาษามี 2 อย่าง คือ วัจนภาษา กับ อวัจนภาษา วัจนภาษา (Verbal language) คือ ภาษาที่ใช้อยู่ทั่วไป ที่ผู้สื่อสารสามารถสื่อได้แค่ตัวภาษาเท่านั้น อวัจนภาษา (Nonverbal language) ก็คือ Body languageนั้นแหล่ะ เป็นภาษาที่สื่อสารโดยอารมณ์ เช่น การแสดงออกทางสีหน้า เป็นต้น สำหรับภาษาพูดกับภาษาเขียน ง่ายๆเลย ให้น้องสังเกตจากชีวิตประจำวันที่เราเป็นอยู่นะ ภาษาเขียน ก็คือ Writting langage เป็นภาษาที่เราใช้เขียนอย่างเดียว มันจะเป็นแค่วัจนภาษา หมายความว่า ผู้ที่อ่านจะไม่สามารถมองเห็นอารมณ์ ความรู้สึก ของผู้เขียน หรือตัวละครที่ผู้เขียนสื่อสารไปได้ และจะเป็นภาษาที่สื่อสารอย่างถูกต้องตามไวยากรณ์ แต่ภาษาเขียนก็มีหลายประเภทเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับว่าเราเขียนอะไร และเขียนถึงใครด้วย ตัวอย่างเช่น การเขียนขอข้อมูลกับทางราชการ เราก็ต้องเขียนให้เป็นแบบแผนหน่อย แต่ถ้าเป็นเขียนอย่างเช่น เขียนโน้ตให้เพื่อนหรือว่าโน้ตย่อให้ตัวเอง ความเป็นแบบแผนก็จะน้อยลง ภาษาเขียน ไม่แตกต่างจากภาษาพูดเท่าไหร่ ส่วนต่างอยู่ตรงที่ภาษาพูด เราสามารถจะสื่อสารโดย body languageได้ และอีกจุดที่แตกต่างคือ แบบแผนในไวยากรณ์จะไม่เน้นมากเหมือนกับภาษาเขียน คือไม่ได้หมายความว่าไวยากรณ์ไม่มี มันก็ยังต้องมี เพราะ ไวยากรณ์ หรือ grammarเนี่ย จะต้องเอาไว้ใช้ในทุกทักษะของการฟัง พูด อ่าน และเขียน ดังนั้นการพูดก็ต้องให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์เ แต่จะไม่strictมากเหมือนกับภาษาเขียน แต่ยังไงเราก็ต้องดูว่าเราพูดกับใครด้วย อย่างเช่น ถ้าเราพูดกับเชื้อพระวงศ์ เราก็ต้องใช้คำราชาศัพท์ หรือพูดกับพ่อแม่ก็ต้องพูดอย่างเคารพ แต่ถ้าเราพูดกับเพื่อนความเป็นแบบแผนก็จะน้อยลง เป็นต้น

1 ความคิดเห็น:

Unknown กล่าวว่า...

ขอบคุณที่ให้ความไว้วางใจในการให้บริการออนไลน์สำหรับการช่วยเหลือเงินกู้ 200,000 ยูโรเพื่อเริ่มต้นครอบครัวของฉันภายใน 24 ชั่วโมงหากคุณสนใจที่จะกู้เงินด่วนในอัตราต่ำติดต่อ Trustloan Online Services ที่: {trustloan88 @ g m a l l. c o m}